Showing posts with label Thai language. Show all posts
Showing posts with label Thai language. Show all posts

Wednesday, December 30, 2015

ผักตบชวา: alien species พระราชทาน

ในสมัยที่ผมยังทำงานที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น จำเป็นที่จะต้องนั่งเรือข้ามฟากเพื่อไปทำงานอยู่เสมอ ทุกครั้งที่นั่งเรืออยู่นั้น ก็จะเห็นผักตบชวาลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา มากบ้างน้อยบ้างอยู่เสมอ ไม่เคยเลยที่จะไม่เห็นผักตบชวาลอยอยู่สักครั้ง ผักตบชวานี้ถือเป็นพืชที่ก่อปัญหาทางน้ำตัวสำคัญในไทย ด้วยความสามารถในการแพร่พันธุ์ของมัน ทำให้ลำน้ำที่มันงอกเงยอยู่นั้นเต็มพรืดไปด้วยผักตบชวาภายในเวลาไม่นาน เบียดบังพืชน้ำอื่น ๆ ให้ไม่สามารถขึ้นอยู่ได้จนตายสูญไปหมด นอกจากนั้นพุ่มใบที่ดกหนาของผักตบชวายังทำให้ออกซิเจนในอากาศไม่สามารถผ่านลงมาในน้ำได้ บวกกับซากเน่าเปื่อยที่หล่นร่วงลงไปในน้ำ จึงทำให้น้ำในแม่น้ำลำคลองเน่าเสียไปตาม ๆ กัน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้หลาย ๆ คนอาจนึกไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วผักตบชวาไม่ใช่พืชท้องถิ่นของไทย แต่เป็นพืชต่างถิ่นที่มาเติบโตแย่งชิงถิ่นที่อยู่ของพืชท้องถิ่น หรือที่เรียกกันว่า alien species นั่นเอง

ผักตบชวาหรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eichhornia crassipes นั้นแต่เดิมเป็นพืชท้องถิ่นในแถบอเมริกาใต้ พืชชนิดนี้ถูกนำเข้ามายังแถบเอเชียอาคเนย์ในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยชาวฮอลันดาที่ปกครองอาณาเขตชวาอยู่ในขณะนั้น พืชชนิดนี้ถูกนำเข้าไทยมาในราวปี พ.ศ. 2439 ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสชวาพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ในครั้งนั้นสมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ ได้ทอดพระเนตรเห็นดอกผักตบชวาแล้วนึกชมชอบในความงามของช่อดอกที่มีสัณฐานคล้ายกับกล้วยไม้ของไทย จึงมีรับสั่งให้นำกลับไปทดลองปลูกที่เมืองไทยด้วย โดยได้ทดลองปลูกผักตบชวาเป็นครั้งแรกในวังพญาไท ผลการทดลองนั้นพบว่าผักตบชวาสามารถเติบโตแพร่พันธุ์ได้ดี จึงมีดำริให้นำพันธุ์ผักตบชวานั้นปล่อยลงตามคลองนอกวัง โดยเริ่มจากคลองสามเสนเป็นแห่งแรก เพื่อที่ประชาชนทั่วไปจะได้ยลความงามของดอกผักตบชวาเยี่ยงเหล่าเจ้านายด้วย

ดอกผักตบชวา (แหล่งที่มา:https://en.wikipedia.org/wiki/Eichhornia_crassipes)

ชั่วเวลาไม่นาน ผักตบชวาที่เคยเป็นที่นิยมชมชอบก็กลับเปลี่ยนสถานะเป็นภัยต่อสังคม ดังในปี พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงมีรับสั่งถึงผักตบชวาเป็น “ของร้ายกาจมาก” ในปี พ.ศ. 2543 ผักตบชวาจึงได้รับการแนะนำให้ประชาชนทั่วไปรู้จักในฐานะของ “พืชอันตรายไร้ประโยชน์ที่ต้องช่วยกันกำจัด” ถึงแม้ในสมัยรัชกาลที่ 6 จะมีการออกพระราชบัญญัติให้กำจัดผักตบชวาให้สิ้นซากก็ตาม ผักตบชวาก็ยังคงเหลือรอดตกทอดมาเป็นมรดกจนถึงทุกวันนี้


จากที่ครั้งหนึ่ง ผักตบชวาเป็นที่รู้จักกันในฐานะไม้ประดับแสนสวยที่สมเด็จพระราชินีนาถทรงประทานให้ทุกผู้ชน แต่มาในวันนี้กลับเป็นที่รู้จักในฐานะ alien species ที่เป็นภัยแก่สิ่งแวดล้อมไปเสียแล้วนั่นเอง

Monday, November 23, 2015

อุปมาโวหารในวรรณคดีไทย: จาก


ในช่วงวัยเด็กของผมนั้น ผมอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ เนื่องจากพื้นเพทางแม่นั้นเป็นคนพระประแดง ในละแวกบ้านเดิมในวัยเด็กของผมนั้นเป็นป่าชายเลนเสื่อมโทรม ซึ่งยังพอเห็นร่องรอยของไม้ชายเลน อาทิลำพูหรือโกงกางอยู่บ้าง (ปัจจุบันได้อันตรธานไปหมดแล้ว) หนึ่งในไม้ชายเลนที่พบเห็นทุกครั้งที่ออกจากบ้านมาวิ่งเล่นหรือไปโงเรียนเสมอคือต้นจาก

ต้นจากหรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nypa fruticans เป็นพืชตระกูลปาล์มหนึ่งเดียวที่ได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นไม้ที่ขึ้นในป่าชายเลนได้ นอกจากในไทยแล้วยังสามารถพบได้ในประเทศอื่น ๆ ในเอเชียอาคเนย์ บางภูมิภาคของอินเดีย หมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกรวมไปถึงออสเตรเลียและหมู่เกาะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ในไทยนั้นมีการนำต้นจากมาใช้ประโยชน์ในการทำขนมจาก ซึ่งเป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว มะพร้าวทึนทึก (หรือมะพร้าวแก่) และน้ำตาลมะพร้าวนวดผสมเข้าด้วยกัน ก่อนจะห่อด้วยใบจากแล้วนำไปย่างจนเกรียมส่งกลิ่นหอม อีกทั้งผลจากอ่อนที่ยังไม่แก่ก็สามารถบริโภคได้ มีรสสัมผัสหนึบและมีรสหวานอ่อน ๆ นิยมนำมาเชื่อมหรือทำลอยแก้วเพื่อเพิ่มรสหวาน

ผลจาก ถ่ายที่บางกระเจ้า จ. สมุทรปราการ

เนื่องจากคำว่า”จาก” ของต้นจากนั้น ไปพ้องเสียงกับคำว่า”จาก”ที่มีความหมายถึงการอำลาจากกัน จึงมีการนำต้นจากนั้นไปใช้ในการบรรยายพรรณาเปรียบเทียบกับการอำลาของตัวละครในวรรณคดีไทยอยู่เนือง ๆ หนึ่งในวรณคดีที่มีชื่อเสียงที่มีการใช้ “ต้นจาก” เป็นสัญลักษณ์ของการอำลานั้น คือเรื่องอิเหนา ดังปรากฏในบทชมดงตอนศึกกะหมังกุหนิง ที่มีการใช้พันธุ์พืชและพันธุ์นกที่มีนามพ้องกับศัพท์ที่มีความหมายถึงความเศร้าสลดของตัวละครเอกที่ต้องจากบ้านเมืองมาทำสงคราม

เมื่อพูดถึงต้นจากในความหมายทางวรรณคดีแล้ว ก็เห็นจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงต้นระกำและต้นสละไปไม่ได้ ด้วยไม้ทั้งสองชนิดนี้ก็มีความหมายพ้องกับศัพท์ที่แสดงความโศกเศร้าสูญเสียเช่นกัน อีกทั้งพืชทั้งสองต่างก็เป็นพืชในวงศ์เดียวกันกับต้นจาก เพียงแต่ต่างสกุลกันเท่านั้น

ต้นสละ หรือเรียกกันในมาเลเซียและอินโดนีเซียว่า Salak นั้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Salacca zalacca (ชื่อวิทยาศาสตร์น่าจะแผลงมาจากชื่อ salak ) เป็นพืชท้องถิ่นในแถบเอเชียอาคเนย์ จุดที่ต่างจากต้นจากชัดเจนคือต้นสละนั้นมีหนามแหลมคมตามก้านใบ สละจัดเป็นพืชเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย โดยเฉพาะสละปนเดาะห์ (salak pondoh) หรือที่รู้จักในไทยในนามสละอินโด ที่มีรสหวาน เนื้อแห้ง ส่วนสละยอดนิยมอีกพันธุ์ คือสละบาหลีน้ำตาลทราย (gula pasir) ที่กล่าวกันว่ามีรสหวานที่สุดในสละทั้งปวง

ต้นระกำหรือ Salacca wallichiana มีลักษณะคล้ายสละมาก จุดต่างที่สังเกตได้ง่ายที่สุดคือผล โดยผลของสละนั้นจะมีลักษณะเรียวยาว เนื้อในมักจะมีเพียง1-2 กลีบ ในขณะที่ผลของระกำนั้นมีลักษณะกลมป้านกว่า และเนื้อในอาจแบ่งได้ถึง 2-3 กลีบ อย่างไรก็ตามเนื่องจากไม้ทั้งสองชนิดนี้อยู่ในสกุลเดียวกันจึงสามารถผสมข้ามสายพันธุ์ได้ ทำให้สละในท้องตลาดปัจจุบันอาจพบเนื้อในแบ่งเป็น 2-3 กลีบได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังพบไม้ลูกผสมระหว่างสละและระกำ ที่ออกมาไม่มีหนามเลยอยู่ด้วย เรียกกันว่า สะกำ

เนื่องจากระกำและสละนั้นมีลักษณะคล้ายกัน อีกทั้งชื่อของทั้งสองต้นยังไปพ้องกับศัพท์ที่บ่งบอกความสูญเสียเศร้าโศกได้เหมือนกัน ในวรรณคดีจึงมักปรากฏการใช้คู่กันเสมอในบทพรรณนาความเศร้าของตัวละคร ดังในลิลิตตะเลงพ่ายที่มีการพรรณาความทุกข์โดยใช้ระกำและสละคู่กันนั่นเอง

Tuesday, November 10, 2015

มะขามป้อม หยาดน้ำอมฤตแห่งอายุวัฒนะ

ช่วงนี้ตามปฏิทินแล้วถือว่าเป็นฤดูหนาว แต่ก็ยังคงมีฝนตกเป็นระยะ ๆ สลับกับอากาศเย็นในช่วงเช้า และร้อนตับแลบในช่วงบ่าย ตัวผมในฐานะเภสัชกรจึงมีคนไข้เป็นหวัดไม่สบายมาหาอยู่เนือง ๆ ซึ่งในบรรดายาแก้หวัดที่สามารถขายในร้านขายยาได้นั้น หนึ่งในยาที่มีพลานุภาพแก้ไอได้ฉะงัดนักคือมะขามป้อม โดยจะใช้เป็นยาช่วยให้ชุ่มคอแก้คันคอ เคียงคู่มากับมะแว้งที่ใช้เป็นยาขับเสมหะ

มะขามป้อม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phyllanthus emblica ในอินเดียเรียกกันว่าต้นอัมลา หรืออามลกะ (อ่านว่า อา-มะ-ละ-กะ) (คำว่า emblica ในชื่อวิทยาศาสนตร์ของมะขามป้อมนั้น คาดว่าน่าจะแผลงมาจากคำว่าอัมลา หรือ amla)จัดเป็นหนึ่งในเครื่องยาที่มีการใช้ในศาสตร์แห่งอายุรเวท ได้รับการยกย่องว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่รักษาได้ทุกโรค ที่มานั้นเนื่องมาจากตำนานในศาสนาฮินดู ที่นับถือมะขามป้อมว่าเป็นต้นไม้ประจำตัวของพระวิษณุหรือพระนารายณ์

อีกตำนานหนึ่งนั้นระบุว่าต้นมะขามป้อมมีกำเนิดมาจากหยาดน้ำอมฤตที่หยดลงมายังพื้นโลกโดยบังเอิญ ด้วยเหตุนี้ชาวอินเดียจึงถือกันว่ามะขามป้อมนั้นเป็นยาวิเศษที่ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้นานาประการ และยังเป็นยาอายุวัฒนะที่ช่วยยืดอายุขัยออกไปได้อีกด้วย 

ในพุทธศาสนาแล้ว มะขามป้อมถือเป็นหนึ่งในผลเภสัช หรือผลไม้ที่เป็นยา ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุฉันในยามวิกาลได้ อีกทั้งยังกล่าวกันว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ถวายแก่เหล่าภิกษูสงฆ์เป้นสิ่งสุดท้ายในพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน มะขามป้อมจึงถูกนำมาใช้เป็นแบบในการสร้างสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาหลายอย่าง อาทิเจดีย์ทรงมะขามป้อมครึ่งซีกที่อินเดีย หรือเจดีย์ที่ยอดปรางค์ทำเป็นทรงมะขามป้อมในพม่า เป็นต้น



เจดีย์เสียนเยียต ยีมา ที่ยอดปรางค์ทำเป็นทรงมะขามป้อม (ถ่ายที่พุกาม ประเทศพม่า)
มะขามป้อมยังปรากฏในพุทธชาดก ในส่วนของประวัติของหมอชีวกโกมารภัจจ์ กล่าวคือครั้งหนึ่งหมอชีวกฯ ได้ถวายการรักษาแก่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่ง ด้วยการให้เนยใสซึ่งพระองค์ทรงเกลียดชังนักโดยการปรุงแต่งกลิ่นรสกลบเสีย เมื่อถวายเสร็จก็กลัวพระเจ้าแผ่นดินจะพิโรธหากจับได้ว่าสิ่งที่เสวยเข้าไปคือเนยใส จึงรีบเดินทางออกจากเมื่อ ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินเมื่อจับได้ว่าโอสถนั้นเป็นเนยใส ก็สั่งให้มหาดเล็กไปตามหมอชีวกฯ กลับมารับโทษฐานหลอกลวง เมื่อมหาดเล็กเดินทางมาพบ หมอชีวกฯ ก็ทำอุบายเชื้อเชิญให้กินมะขามป้อม โดยตนกินให้ดูก่อนเพื่อให้เห็นว่าไม่มีพิษใด ๆ แต่ซีกที่หมอชีวกฯ กินนั้นได้แทรกยาต้านฤทธิ์ลงไปก่อน เมื่อนายมหาดเล็กกินมะขามป้อมซีดที่ไม่ได้แทรกยาลงไปก็เกิดการถ่ายท้องลง ณ ตรงนั้นจนไร้เรี่ยวแรง สุดที่จะจับตัวหมอชีวกฯ กลับไปได้ หมอชีวกฯ จึงเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพดังนี้แล

นอกจากในพุทธกาลปัจจุบันนี้แล้ว มะขามป้อมยังจัดเป็นต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าในกาลก่อน นามว่าพระปุสสพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้สำเร็จพระโพธิญาณอีกด้วย

ในอินเดียจะมีประเพณีการบูชาต้นมะขามป้อมในวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 2 โดยในพิธีนั้นจะมีการรดน้ำต้นมะขามป้อมและสวดมนต์ขอพรให้มีสุขภาพดีและอายุยืน พิธีการบูชาต้นมะขามป้อมนี้ถือเป็นวันบอกการเริ่มต้นของเทศกาลสาดสี หรือ Holi festival อีกด้วย มะขามป้อมเองยังถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของผงสีเหลืองที่ใช้สาดในเทศกาลอีกด้วย จะเห็นได้ว่ามะขามป้อมนั้นแทรกซึมอยู่ในสังคมอินเดียจริง ๆ ครับ

Sunday, October 4, 2015

"บาตรไม้แก่นจันทน์แดง" ในพุทธประวัตินั้น ทำจากไม้ชนิดใดกันแน่?

ในคราวที่เขียนเรื่อง “มะม่วงในพุทธประวัติ” นั้น ได้กล่าวถึงการทำยมกปาฏิหาริย์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีที่มาจากการที่พระปิณโฑลภารทวาชได้กระทำปาฏิหาริย์จนชาวเมืองโจษจันกันนั้น ได้มีการกล่าวถึงบาตรที่ทำจากไม้จันทน์สีแดงดั่งครั่ง ไว้ เมื่อย้อนกลับมาดู ก็ให้สงสัยว่า บาตรเจ้าปัญหาลูกนั้น ทำจากไม้จันทน์จริงหรือ เพราะไม้จันทน์ในไทยนั้น มีสีออกเหลืองนวล ไม่ใช่สีออกโทนแดงแม้แต่น้อย และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสีแดงก่ำดั่งปรากฏในพุทธประวัติ

ถ้าเช่นนั้น บาตรไม้แก่นจันทน์แดง ที่ว่านั้น ทำจากไม้อะไรกันแน่? ปัญหานี้ต้องย้อนกลับไปดูพรรณไม้ในแถบภูมิภาคอินเดีย เวทีแห่งเรื่องราวในพุทธประวัติ

จากการสืบค้นดู พบว่าในแถบภูมิภาคอินเดียนั้น มีพรรณไม้ที่เรียกขานกันในไทยว่าจันทน์ ที่มิใช่พันธุ์เดียวกับไม้จันทน์ ของไทย หรือ Mansonia gagei อยู่เช่นกัน ไม้ชนิดนั้นคือ sandalwood หรืออาจกล้อมแกล้มเรียกในชื่อไทยได้ว่าจันทน์หอม sandalwood มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Santalum album มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินเดียใต้ ปัจจุบันพบได้ในแถบออสเตรเลียทางเหนือเช่นกัน ในอดีตถือเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตน้ำมันจันทน์หอม หรือ sandalwood oil ปัจจุบันจัดเป็นพืชใกล้สูญพันธุ์ที่รัฐบาลอินเดียเป็นผู้ควบคุมการปลูกและจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว (แน่นอนว่ามีการบักลอบตัดกันอยู่เนือง ๆ ) อย่างไรก็ตาม ไม้ชนิดนี้มีสีออกไปทางขาวนวลดังที่ระบุไว้ในชื่อ (album ในภาษาละตินหมายถึงสีขาว) จึงไม่น่าจะใช่ “ไม้แก่นจันทน์แดงดั่งครั่ง” ที่ระบุไว้ในพุทธประวัติเช่นกัน

ทั้งนี้ ในอินเดียนั้นยังคงมีไม้สกุลอื่น ๆ ที่เรียกกันว่า sandalwood อยู่ด้วย ไม้ชนิดนั้นคือ red sandalwood หรือในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pterocarpus santalinus จากชื่อก็บ่งบอกว่าไม้ชนิดนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับ sandalwood มาก (santalinus แปลว่ามีลักษณะคล้าย sandalwood) ที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ red sandalwood ไม่มีกลิ่นหอม ไม้ชนิดนี้เป็นญาติใกล้ชิดกับประดู่ป่า (Pterocarpus macrocarpus) ที่เป็นไม้สัญลักษณ์ประจำประเทศพม่าอีกด้วย

เนื่องด้วย red sandalwood มีเนื้อไม้สีแดงก่ำ (รวมไปถึงต้นประดู่ป่าด้วย) ประกอบกับในพุทธประวัตินั้นไม่ได้มีการระบุว่า”ไม้แก่นจันทน์แดงดั่งครั่ง” นั้นมีกลิ่นหอมหรือไม่ จึงอาจเป็นไปได้ว่า บาตรไม้จันทน์แดง เจ้าปัญหาที่เป็นที่มาของการบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายแสดงอิทธิปาฏิหาริย์นั้น ทำจากไม้ red sandalwood หาใช่ไม้จันทน์ที่คนไทยรู้จักไม่ครับ

แล้วในไทยนั้น ไม่มี “ไม้แก่นจันทน์แดง” อยู่บ้างเลยหรือ คำตอบคือ มีครับ ในไทยนั้นมีไม้ในสกุลจันทน์ผาอยู่ (สกุล Dracaena) ไม้ชนิดนี้เมื่อโดนเชื้อรากินเนื้อไม้จากสีน้ำตาลนวล จะกลับกลายเป็นสีแดงและมีกลิ่นหอมขึ้นมา (คล้ายกับ “ขอนดอก” ที่เกิดจากแก่นพิกุลโดนรากิน) ในตำรายาไทยจะใช้แก่นจันทน์แดงนี้เป็นยาแก้พิษไข้ทุกชนิด เมื่อคำนึงจากเรื่องราวในพุทธประวัติทีว่า บาตรแก่นจันทน์แดงนั้นทำจากไม้จันทน์ที่ลอยตามน้ำมา ก็อาจเป็นไปได้ว่าบาตรแก่นจันทน์แดงนั้นอาจทำจากไม้จันทน์ผา ซึ่งระหว่างที่ลอยตุ้บป่องมานั้น เชื้อราได้กัดกินจนไม้จันทน์ผานั้นกลายเป็นสีแดงแล้วได้เช่นกันครับ

อนึ่ง ไม้ในสกุลจันทน์ผาบางชนิดนั้นมีน้ำเลี้ยงสีแดงดั่งโลหิต ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิต “โลหิตมังกร” มาแต่ครั้งโบราณ อันว่าโลหิตมังกรนั้นถูกนำมาใช้เป็นยาแก้สรรพโรคาในตำรายาพื้นบ้านของทั้งทางจีนและอินเดีย โดยจะเน้นรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารเป็นหลักครับ 



Saturday, September 26, 2015

หอมหมื่นลี้ เคล็ดลับความงามจากดวงจันทรา

ในอีกไม่กี่วันจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ของชาวจีนกันแล้ว เลยขอเขียนเรื่องราวของดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกบยเทศกาลนี้สักหนึ่งเรื่องครับ

หนึ่งในพืชที่มีความสำคัญในเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้นคือต้นหอมหมื่นลี้ หรือ กุ้ยฮัว ในภาษาจีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Osmanthus fragrans จากชื่อก็บ่งบอกถึงคุณสมบัติของพืชชนิดนี้ได้ดี คือ เป้นดอกไม้ (Anthos) ที่มีกลิ่นหอมกำจาย (Osma) พืชชนิดนี้อยู่ในวงศ์ Oleaceae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกันกับมะลิ และมะกอกฝรั่ง (Olive) (ส่วนมะกอกไทยนั้นอยู่ในวงศ์ Anacardiaceae หรือวงศ์มะม่วง) พืชชนิดนี้พบกระจายตามแนวเทือกเขาหิมาลัยและทางตอนใต้ของจีนรวมถึงญี่ปุ่น ในไทยนั้นพบขึ้นอยู่ในธรรมชาติที่จังหวัดเชียงใหม่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ดอกหอมหมื่นลี้ถือเป็นดอกไม้ที่มีการใช้เพื่อประทิมความงามในวัฒนธรรมจีนมาแต่ครั้งโบราณ ทั้งนำมาผสมในอาหาร เครื่องดื่ม ชาและอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีการใช้ชาหอมหมื่นลี้เป็นยาพื้นบ้านในการรักษาภาวะประจำเดือนผิดปกติสตรีอีกด้วย ในไต้หวันนั้นนับถือดอกหอมหมื่นลี้ว่าเป็นดอกไม้มงคลแห่งการครองคู่ และถูกนำมาใช้ในพิธีแต่งงานของชาวไต้หวัน


ตามตำนานของจีนแล้ว ต้นหอมหมื่นลี้นั้นมีกำเนิดมาจากดวงจันทร์ เป็นไม้อมตะ ที่เมื่อถูกฟันถูกตัดแลวจะงอกใหม่ขึ้นมาทันที ด้วยความเชื่อดังกล่าวบวกกับดอกหอมหมื่นลี้นั้นจะบานในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์พอดี จึงถือกันว่าหอมหมื่นลี้นั้นเป็นดอกไม้ประจำเทศกาลไหว้พระจันทร์ มีธรรมเนียมหนึ่งที่ปฏิบัติกันในพิธีไหว้พระจันทร์ คือการร่วมวงร่ำสุราหอมหมื่นลี้ หรือกุ้ยฮัวเฉินจิ้ว (ทำจากการผสมดอกหอมหมื่นลี้ลงในเหล้าขาว หรือเหล้ากลั่น (ไบจิ้ว) มีดีกรีอ่อนกว่าเหล้าขาวทั่วไปคือไม่เกิน 20 ดีกรี) เหล้าชนิดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของการได้กลับมาพบหน้ากันใหม่อีกครั้งในปีนี้ จึงเป็นธรรมเนียมที่จะร่ำสุราชนิดนี้ไปพลางชมความงามของดวงจันทร์ไปพลาง ๆ ครับ

สุราหอมหมื่นลี้ หรือกุ้ยฮัวเฉินจิ้ว
(credit: https://en.wikipedia.org/wiki/File:Chinesischer_Duftwein_Flasche.jpg)

Sunday, September 20, 2015

พุทรา กับเบื้องหลังการประกาศอิสรภาพของไทย

ที่ปากซอยบ้านผมนั้น เคยเป็นที่ดินรกร้างมีต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม ตรงหัวเลี้ยวโค้งนั้นมีต้นพุทราใหญ่ต้นหนึ่ง อายุหลายปีแล้วต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขามากมายคอยเป็นร่มเงาให้คนเดินถนนหรือคนที่ต้องยืนรอรถเมล์ มาบัดนี้ที่รกร้างนั้นแปรสภาพถูกถมไถกลบ เตรียมก่อสร้างเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่น่าทัศนานัก แน่นอนว่าต้นพุทราใหญ่ต้นนั้นก็ถูกตัดโค่นลงด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้คนเดินถนนไร้ร่มเงาไว้คอยบังแดด นกกาต่างไร้ร่มไม้ไว้คอยพักพิง การพัฒนาที่ทำลายสิ่งเก่าเพื่อสร้างสิ่งใหม่นี่ช่างได้ไม่คุ้มเสียจริง ๆ ครับ

คิดไปแล้วก็น่าเสียดายพุทราใหญ่ต้นนั้นมิใช่น้อย เพราะพุทรานั้นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการประกาศอิสรภาพของแผ่นดินสยามมาแต่ครั้งโบราณกาลเลยทีเดียว

พุทรานั้นมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ziziphus jujuba มีชื่อสามัญว่า jujube หรือ Chinese Date หรืออินทผลัมจีน เนื่องจากในเมืองจีนจะนำผลพุทราที่สุกแดง คว้านเมล็ดออกแล้วตากแห้ง ได้ออกมาเป็นวัตถุสีแดงคล้ำที่ผิวนอกเหี่ยวย่นมีลักษณะคล้ายกับอินทผลัม หรือที่เราเรียกกันว่าพุทราจีนนั่นเอง คำว่าพุทรานั้นดูจากรูปศัพท์บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ใช่คำไทยดั้งเกดิม สันนิษฐานว่ามาจากคำภาษาสันสกฤต พทรก่อนจะเพี้ยนเป็นพุทรา (อ่านว่า พุ-ทะ-รา) จนกลายเป้นพุทรา (อ่านว่าพุด-ซา) ดังในปัจจุบัน

เหตุการณ์ที่ต้นพุทรามาเกี่ยวข้องกับการประกาศอิสรภาพของไทยนั้น ปรากฏในยุคสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในเหตุการณ์อันลือเลื่อง คือศึกยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชา ตามที่บันทึกในหนังสือเรื่อง “คำให้การขุนหลวงหาวัด” ระบุไว้ว่า พลายภูเขาทอง ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้นมีขนาดตัวเล็กกว่าพลายพัทธกอ จึงชนสู้ไม่ไหวจนต้องล่าถอย ในระหว่างที่กำลังเพลี่ยงพล้ำอยู่นั้นเอง พลายภูเขาทองได้ถอยไปจนถึงถิ่นหนึ่งและได้อาศัยยันโคนต้นพุทราเพิ่มแรงชนจนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรได้ทีจึงฟันพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์คาคอช้างทรง ณ ที่นั้นเอง

จิตรกรรมยุทธหัตถี วัดสุวรรณดาราราม จ.พระนครศรีอยุธยา
credit: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/4/4f/WatSuvandaramMural.jpg


หากเป็นเยี่ยงนี้ก็ถือว่า ต้นพุทรานั้นถือเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ไทย และทำให้เมืองไทยเป็นเมืองไทยดังเช่นในทุกวันนี้ได้ สมควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ ดังที่สวนพุทราประวัติศาสตร์ กรุงศรอยุธยา ก็ได้ทำการดูแลรักษาพุทราโบราณกว่า 800 ต้นไว้จนถึงปัจจุบันนี้

แต่ทว่า เหตุการณ์ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้นเคยเกิดขึ้นจริงหรือ? ด้วยแท้จริงแล้วหนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัดนั้น เป็นเรื่องที่ถูกแต่งเติมเสริมจริงขึ้น!

จริง ๆ แล้ว หนังสือเรื่อง“คำให้การขุนหลวงหาวัด” นั้น เกิดจากฝีมือการคัดลอกจากหนังสือในหอหนังสือหลวง ชื่อ “พระราชพงศาวดารแปลจากภาษารามัญ” โดย นาย ก.ศ.ร. กุหลาบ ได้ลักลอบคัดลอกหนังสือพงศาวดารต่าง ๆ ในหอหนังสือหลวง ซึ่งในยุคสมัยนั้นถือเป็นการทำผิดกฎระบิลเมืองต้องอาญาหนัก นาย ก.ศ.ร. กุหลาบจึงได้คิดอุบายด้วยการแก้ไขสำนวน ปรับเติมข้อความแทรกลงไปให้ต่างจากต้นฉบับเพื่อจะได้อ้างได้ว่ามิได้คัดลอกไปจากของหลวง แต่ก็ทำให้เนื้อความนั้นคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงมาก ถึงขนาดพระบาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีรับสั่งเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ว่า "พิสดารฟั่นเฝือเหลือเกิน" จนในภายหลังทางรัฐบาลต้องออกหนังสือแก้ในชื่อว่า “คำให้การของขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง”

เมื่อเทียบเนื้อหากับพงศาวดารอยุธยาอีกฉบับหนึ่ง ที่ออกโดยหอหนังสือหลวง ชื่อ “คำให้การชาวกรุงเก่า” ที่ต้นฉบับถูกส่งมาจากพม่าอีกทีหนึ่งนั้น เนื้อความในเหตุการณ์ยุทธหัตถีนั้นแตกต่างไปจากในฉบับขุนหลวงหาวัดอยู่ กล่าวคือในฉบับคำให้การชาวกรุงเก่านั้นระบุไว้ว่า พลายภูเขาทองกำลังน้อยกว่าจึงถอยร่นเข้าไปในป่าพุทรา แล้วยันตัวเข้ากับจอมปลวกหนึ่งในป่านั้นเป็นกำลังในการชนสู้กับพลายพัทธกอ สมเด็จพระนเรศวรได้ทีจึงฟันสมเด็จพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์บนคอช้างนั้นแล

เมื่อเป็นเช่นนี้ พุทรานั้นเป็นสิ่งช่วยกู้เอกราชให้แก่สยามประเทศ หรือเป็นเพียงสิ่งที่ “สิ่งที่ช่วยกู้เอกราชให้สยามประเทศ” (คือจอมปลวก) ได้อาศัยอยู่เท่านั้น ก็ยากที่จะสืบหาความจริงในปัจจุบันนี้แล้ว



ส่วน “สัญลักษณ์แห่งอิสรภาพแห่งสยามประเทศ” ที่ปากซอยบ้านผมนั้นก็ได้อันตรธานปลาสสิ้นไปแล้ว หรือนี่จะเป็นสิ่งบ่งบอกว่าเมืองเรานั้นไม่เคยมีอิสรภาพที่แท้จริงมาตลอดกันแน่?

Friday, September 18, 2015

มะม่วงในพุทธประวัติ

ครั้งก่อนได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับมะม่วงในศาสนาฮินดูเอาไว้ ในครั้งนี้จึงอยากจะยกเรื่องราวของมะม่วงที่ปรากฏในศาสนาพุทธมาไว้สักหน่อย เพื่อเน้นย้ำให้เห็นว่ามะม่วงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวอินเดียจริง ๆ ครับ

มะม่วงมีปรากฏในพุทธประวัติหลายครั้ง ในที่นี้จะขอยกมากล่าวไว้สัก 2 เรื่อง เรื่องแรกคือสวนอัมพวัน ซึ่งหมอชีวกโกมารภัจจ์ บรมครูแห่งแพทย์แผนไทยได้ถวายเป็นที่พำนักแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าสงฆ์สาวกทั้งปวง ทั้งนี้ด้วยตัวหมอชีวกฯ นั้นมีดำริว่าตนนั้นปรารถนาจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าวันละ 2-3 ครั้ง แต่ติดตรงที่พระเวฬุวันมหาวิหารที่พระเจ้าพิมพิสารทรงสร้างถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นที่พำนักนั้นอยู่ไกลจากที่พักของตน ไม่สะดวกแก่การเดินทางไปเฝ้านัก จึงดำริสร้างที่พักขึ้นในสวนมะม่วงของตนที่ได้รับพระราชทานมาจากพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อถวายเป็นราชฐานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงขนามนามสวนมะม่วงนั้นว่าชีวกัมพวัน อันแปลว่าอัมพวัน (หรือสวนมะม่วง) ของหมอชีวกฯ ที่แห่งนี้ยังเป็นที่ที่หมอชีวกฯ รักษาแผลห้อเลือดที่เกิดจากสะเก็ดหินกระเด็นต้องพระองค์อีกด้วย ปัจจุบันยังคงมีซากพระวิหารตั้งอยู่เป็นหนึ่งในพุทธสถานที่พุทธศาสนิกชนเดินทางมาสักการะ

อีกเรื่องหนึ่งที่มะม่วงปรากฏในพุทธประวัติคือเรื่องการทำยมกปาฏิหาริย์ สืบเนื่องมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุทั้งปวงแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ (โดยต้นเหตุมาจากการที่พระปิณโฑลภารทวาชได้กระทำปาฏิหาริย์เหาะไปนำบาตรทำจากแก่นไม้จันทน์สีแดงดั่งครั่งลงมาจากยอดไม้ไผ่) ทำให้เหล่าเดียรถีย์ต่างได้ใจป่าวประกาศท้าแข่งอิทธิปาฏิหาริย์กับองค์พระพุทธเจ้า ด้วยสำคัญผิดว่าพระพุทธองค์ไม่สามารถแสดงปาฏิหาริย์ใด ๆ ต่อหน้าสาธารณชนได้อีก พระองค์จึงมีพระราชเสาวนีย์ตอบกลับไปว่า ตนจะแสดงปาฏิหาริย์ที่ต้นมะม่วง เมื่อเหล่าเดียรถีย์ได้ฟังดังนั้นจึงทำการโค่นต้นมะม่วงทิ้งทั่วเมือง เพื่อมิให้พระองค์มีที่ใช้แสดงปาฏิหาริย์

เมื่อถึงกำหนดวันแสดงปาฏิหาริย์ (ขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชา) พระองค์ทรงเสด็จออกบิณฑบาตเข้าเมือง ประจวบกับคนรักษาสวนของหลวงผู้หนึ่งชื่อนายคัณฑะได้นำผลมะม่วงสุกเข้าเมืองมาด้วยหมายใจจะนำไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อได้มาพบพระพุทธองค์ก็บังเกิดความเลื่อมใสจึงได้ถวายมะม่วงผลนั้นให้เป็นทานแด่พระองค์ เมื่อพระองค์เสวยมะม่วงเสร็จก็มีรับสั่งให้นายคัณฑะนำเม็ดมะม่วงไปปลูก ณ จุดที่พบกัน เมื่อพระองค์รดน้ำล้างพระหัตถ์ลงไปยังเม็ดมะม่วงที่เพิ่งเพาะ ก็บังเกิดปาฏิหาริย์โดยเม็ดมะม่วงนั้นเติบโตเป็นต้นมะม่วงมีลูกสุกเต็มต้นในบัดดล ต้นมะม่วงนั้นได้รับนามว่าคัณฑามพฤกษ์ตามชื่อนายคัณฑะผู้ถวายมะม่วง หลังจากนั้นพระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ที่ต้นคัณฑามพฤกษ์นี้ ให้ชื่อว่ายมกปาฏิหาริย์ หรือการทำปาฏิหาริย์ให้บังเกิดเป็นคู่ ๆ เนื่องจากพระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน อาทิ เนรมิตสายน้ำพุ่งออกจากพระวรกายส่วนบน พร้อมกับเนรมิตเปลวไฟออกจากพระวรกายส่วนล่าง เป็นต้น เมื่อพระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์นี้เสร็จก็ทรงเสด็จสู่สวรรค์เพื่อโปรดพระพุทธมารดาต่อไป

พระพุทธรูปปางรับผลมะม่วง ถ่ายที่วัดกระทุ่มเสือปลา อ่อนนุช กรุงเทพฯ

เรื่องราวของการทำยมกปาฏิหาริย์นี้มีปรากฏออกมาเป็นพระพุทธรูปปางแสดงยมกปาฏิหาริย์ และปางรับผลมะม่วง ซึ่งเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปปาง ต่าง ๆ อย่างเป็นทางการทั้ง 66 ปางในปัจจุบัน นอกจากสองเรื่องข้างต้นแล้ว มะม่วงยังปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในชาดกและพุทธประวัติอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เกรงว่าบทความนี้จะยืดยาวเกินพอดี จึงขอจบเรื่องราวของมะม่วงในพุทธประวัติเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ

Thursday, September 10, 2015

มะม่วง ไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งความรักในศาสนาฮินดู

ในตอนที่เขียน “เรื่องของมะพร้าว ตอนที่ ๔” ไปนั้น (ตามไปดูได้ที่นี่ครับ) ได้เอ่ยถึงการทำกลัศบูชาที่มีลูกมะพร้าวเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะเห็นว่ามีการใช้ใบมะม่วงในการทำพิธีบูชาด้วย ในครั้งนี้จึงขอเอ่ยถึงมะม่วงในศาสนาฮินดูสักเล็กน้อย

มะม่วงมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Mangifera indica จากชื่อก็บ่งบอกว่าไม้ชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากในแถบอินเดีย (indica) ชื่อท้องถิ่นในภาษาอินเดียของมะม่วงนั้นจะออกเสียงว่าอัม, อัมราหรืออัมพะ (aam,aamra, amb) ซึ่งนามนี้มีอีกความหมายหนึ่งว่าเสบียง

ในไทยนั้น ปรากฏว่ามีมะม่วงอยู่ในแผ่นดินสยามมานานแล้ว ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ความว่า "มีไรมีนามีถิ่นถาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก มีป่าม่วงป่าขามดูงาม" แต่ชื่อของมะม่วงนั้นสันนิษฐานกันว่ามิได้เป็นคำไทยแต่ดั้งเดิม แต่เป็นคำที่กร่อนเพี้ยนมาจากภาษาอินเดีย (ซึ่งตรงกันกับทฤษฎีที่ว่ามะม่วงนั้นมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมจากอินเดีย) 

เมื่อสืบดูคำเรียกมะม่วงในภาษาอินเดียถิ่นต่าง ๆ นั้นก็พบว่าในภาษาทมิฬจะเรียกมะม่วงว่า "มางกา" หรือ "มางไก" (maagga, maaggai) ซึ่งสันนิษฐานกันว่าต่อมาคำว่ามางกานั้นได้เพี้ยนตามสำเนียงชาวสยามจนกลายเป็นคำว่าม่วงไป ข้อสนับสนุนว่าภูมิภาคในแถบเอเชียอาคเนย์นี้รับนามของมะม่วงมาจากชื่อมางกามากกว่าจะเป็นอัมพะนั้น ดูได้จากคำเรียกมะม่วงในภาษาอินโดนีเซียที่เรียกว่ามางกาเหมือนกัน แต่มีอีกทฤษฎีหนึ่งระบุไว้ว่า เนื่องจากพืชชนิดนี้มีใบอ่อนสีออกม่วงจึงเรียกตามสีของใบว่ามะม่วง ซึ่งทฤษฎีใดจะถูกต้องนั้นก็เกินกว่าความสามารถของผมที่จะคาดเดาได้ครับ

มะม่วงนั้นถือเป็นหนึ่งในไม้ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดู โดยถือกันว่าเป็นไม้ประจำองค์กามเทพ ตามตำนานแล้วกามเทพของฮินดูนั้นปรากฎโฉมเป้็นบุรุษผิวกายเขียว ทรงนกแก้วเป็นพาหนะ มีอาวุธเป็นธนูที่ทำจากต้นอ้อย ใช้ผึ้งเป็นสายธนู ส่วนศรนั้นทำจากพรรณบุปผาห้าชนิด จึงได้นามว่าบุษปศร อันประกอบไปด้วยดอกบัวหลวง บัวสาย ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความบริสุทธิ์ มะม่วง อโศกและมะลิวัลย์ ซึ่งเป้็นเครื่องหมายของความรัก จึงเป้็นนัยยะว่าความรักนั้นนับเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์เช่นกัน


ช่อดอกมะม่วง (ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Mango)

ด้วยมะม่วงเป็นส่วนหนึ่งในบุษปศรนี้ ทางอินเดียจึงนับถือมะม่วงว่าเป็นไม้แห่งความรักและการแต่งงาน ในพิธีแต่งงานนั้น ส่วนหนึ่งของพิธีจะมีการใช้ช่อดอกมะม่วงจุ่มน้ำมนต์ประพรมให้แก่คู่บ่าวสาวกัน นอกจากนี้ยังใช้ใบมะม่วงทำเป็นซุ้มประตูในงานวิวาห์กันอีกด้วย

สำหรับการใช้มะม่วงในพิธีกรรมในประเทศไทยนั้น ใบมะม่วงถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คือใช้เป็นหนึ่งในของใบไม้สมิทธิ 3 อย่าง ซึ่งใช้ในการปัดพระวรกายเพื่อเป็นการปัดเคราะห์ภัยต่าง ๆ ให้พ้นไปจากตัวพระองค์ อันใบไม้สมิทธินั้นประกอบไปด้วย ใบมะม่วง 25 ใบ แทน ปัญจสมหาภัย หรือภัยธรรมชาติ 25 ประการ ใบทอง 32 ใบ แทน ทวดึงสกรรมกรณ์ หรือภัยจากการทำร้ายร่างกายทั้ง 32 ประการ และ ใบตะขบ 96 ใบ แทน ฉันวุฒิโรค หรือโรคภัยทั้ง 96 ประการ โดยเมื่อทำการปัดพระวรกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พราหมณ์ผู้ทำพิธีจะนำใบไม้สมิทธินี้ขุบน้ำผึ้งและน้ำมันดิบก่อนนำไปเผาในเตาที่ใช้ไม้พุทราเป็นฟืนต่อไป 


Sunday, September 6, 2015

ชมพู่จากเมืองกะหลาป๋า

ในตอนที่เขียน "เรื่องของมะพร้าว" ตอนที่ 2 นั้น (ตามไปอ่านได้ ที่นี่ ครับ) ได้กล่าวถึงเมืองกะหลาป๋าที่ขึ้นชื่อในเรื่องของกระจก หมวกสาน และชมพู่ไว้ ในครั้งนี้จึงนำเรื่องชมพู่จากเมืองกะหลาป๋านั้นมาขยายเพิ่มเติมครับ

ชมพู่ เป็นพืชในสกุล Syzygium อยู่ในวงศ์ Myrtaceae สันนิษฐานกันว่าต้นกำเนิดของชมพู่นั้นมาจากในแถบคาบสมุทรอินเดีย ก่อนจะแพร่กระจายมายังภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ในภายหลัง คำว่าชมพู่ในภาษาไทยนั้น สันนิษฐานกันว่ามาจากคำภาษาชวา "จัมบู" (Jambu air) ที่ใช้ในการเรียกชมพู่ในแถบชวาและมลายู แต่ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้เช่นกัน ว่าคำว่าจัมบูของชวานั้นก็อาจจะเพี้ยนมาจากภาษาในแถบอินเดียเช่นกัน โดยชมพู่ในภาษามราฐีนั้นออกเสียงว่าจัม (Jamb) ส่วนในภาษาทมิฬนั้นออกเสียงว่าชัมไป (Champai) ซึ่งทั้งสองคำล้วนออกเสียงคล้ายกับคำว่าจัมบูด้วยกันทั้งคู่

ในปัจจุบัน สายพันธุ์ชมพู่ที่พบในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากนักพฤกษศาสตร์มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 9 สายพันธุ์ ได้แก่

ชมพู่อักษร Syzygium aksornae

ชมพู่กลม Syzygium anacardiifolium

ชมพู่ป่า Syzygium aqueum 

ชมพู่นก Syzygium formosum

ชมพู่น้ำดอกไม้ Syzygium jambos 

ชมพู่สาแหรก Syzygium malaccense 

ชมพู่นกปักษ์ใต้ Syzygium pseudoformosum

ชมพู่แก้มแหม่ม  Syzygium samarangense 

ชมพู่น้ำ Syzygium siamense

โดยทางพฤกษศาสตร์แล้ว สายพันธุ์ชมพู่ที่บริโภคกันในปัจจุบัน ส่วนมากล้วนเกิดมาจากการกลายพันธุ์และพัฒนามาจากสายพันธุ์ของชมพู่ป่าเป็นหลัก ส่วนชมพู่ที่ชาวตะวันตกรู้จักกันดีนั้นจะพัฒนามาจากสายพันธุ์ของ Syzygium samarangense เป็นหลัก

ดอกชมพู่สาแหรก ถ่ายที่เขตบางนา กรุงเทพฯ

อนึ่ง ในภาษาฮินดีเรียกชมพู่น้ำดอกไม้ว่า "กุหลาบจามุน" (Gulab jamun) ซึ่งไปพ้องกับชื่อของขนมกุหลาบจามุนพอดี เมื่อพิจารณาจากรูปร่างของขนมที่เป็นทรงกลมและมีกลิ่นหอมของน้ำกุหลาบที่ไปพ้องกับลักษณะของผลชมพู่น้ำดอกไม้พอดี ก็อาจเป็นไปได้ว่าขนมกุหลาบจามุนนั้นมีที่มาจากการทำเลียนแบบรูปร่างและลักษณธของผลชมพู่น้ำดอกไม้นั่นเอง

แล้วชมพู่จากเมืองกะหลาป๋านั้นคือสายพันธุ์ใดในสายพันธุ์ข้างต้นกัน?

เนื่องด้วยชมพู่แก้มแหม่มหรือ Syzygium samarangense มีชื่อพ้องว่า  Eugenia javanica จากชื่อแสดงให้เห็นว่ามีต้นกำเนิดมาจากเมืองชวา หรือเมืองกะหลาป๋าที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์นั่นเอง ในปัจจุบัน ชมพู่กะหลาป๋าถูกจัดให้ถือว่าเป็นชื่อพ้องของชมพู่แก้มแหม่มนั่นเอง

ไหน ๆ แล้ว ก็ขอแถมท้ายด้วยเรื่องของชมพู่เพชร ของโปรดของผมสักเล็กน้อยแล้วกันครับ

ชมพู่เพชรนั้น คาดว่าเป็นลูกผสมที่เกิดจากการผสมกันระหว่างชมพู่กะหลาป๋า กับชมพู่สาแหรก ต้นตอของชมพู่เพชรนั้นสามารถสืบย้อนไปได้นานสุดคือสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการบันทึกว่ารัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทานกิ่งพันธุ์ของบรรพบุรุษของชมพู่เพชรให้แก่ราษฎรไปเพาะปลูกกัน โดยชมพู่ทีพระราชทานนั้นเรียกกันในยุคนั้นว่าชมพู่เขียวเสวย (เนื่องจากผลแก่มีสีเขียวอ่อนเป็นหลัก) โดยชมพู่ชนิดนี้มีการนำมาปลูกนอกเขตพระราชฐานเป็นแห่งแรกที่ อ. บ้านลาด จ. เพชรบุรี จึงได้รับการขนานนามว่าชมพู่เพชรด้วยเหตุนี้นี่เอง 



Thursday, September 3, 2015

เรื่องของมะพร้าว ตอนที่ ๔ - มะพร้าวในพิธีกรรมต่าง ๆ

ดังที่กล่าวไปในครั้งก่อน ๆ ว่าในอินเดียนั้นนับถือมะพร้าวมาก บางท้องถิ่นถึงขนาดยกย่องให้มะพร้าวเป็นดังต้นกัลปพฤกษ์ในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย ทีเดียว มะพร้าวจึงถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมบวงสรวงเทวะต่าง ๆ มากมายเช่นเดียวกัน ในภูมิภาคทางตอนเหนือของอินเดียนั้น มะพร้าวถือเป็นศรีผลา หรือผลไม้ของศรี เทวีแห่งโภคทรัพท์ การบูชามะพร้าวจะทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ ความเชื่อแพร่ออกไปสู่อินโดนีเซีย ในบางท้องถิ่นสมัยก่อน ก่อนจะเริ่มเพาะปลุกหว่านไถ จะมีการบวงสรวงโดยการราดน้ำมะพร้าวลงดินก่อนจะเริ่มไถพรวนดินเพื่อให้ฟ้าฝนไม่แห้งแล้ง

นอกจากถือเป็นเครื่องหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์แล้ว ผลมะพร้าวยังถือเป็น ตัวแทนของพระศิวะ เนื่องด้วยสัณฐานของผลที่มีตาอยู่สามตา เปรียบเสมือนพระศิวะที่มีสามเนตรเช่นกัน ในศาสนาฮินดูจึงถือกันว่ามะพร้าวเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ในการทำพิธีสรงน้ำเทวรูปต่าง ๆ หรือทำกลัศบูชานั้นจะมีการนำลูกมะพร้าวมาปิดปากหม้อน้ำ โดยเปรียบให้เป็นที่สถิตของพระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งพิธีกรรม ตามปกติลูกมะพร้าวนี้จะไม่ถูกนำไปใช้งานอื่น ๆ แต่จะเก็บเอาไว้เพื่อความเป็นสิริมงคลของตน หลังจากเก็บไว้จนถึงเวลาจะทำพิธีกรรมครั้งใหม่จึงจะนำไปจำเริญลอยน้ำต่อไป

การทำกลัศบูชา โดยนำใบมะม่วงใส่ในหม้อน้ำแล้วนำลูกมะพร้าวปิดปากหม้อ
 (รูปจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Kalasha)


เนื่องจากมะพร้าวมีสัณฐานคล้ายกับศีรษะมนุษย์ จึงมีพิธีการทุบมะพร้าวขึ้นในอินเดีย นัยว่าเพื่อเป็นการทำลายอัตตาของตนทิ้งไปให้บริสุทธิ์ รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ว่าอุปสรรคใด ๆ ที่ขวางกั้นอยู่ได้ถูกทำลายไปแล้วด้วยเช่นกัน 

นอกจากใช้ในพิธีมงคลต่าง ๆ แล้ว ลูกมะพร้าวยังถูกใช้ในงานอวมงคลเช่นงานศพด้วย ด้วยถือว่าน้ำมะพร้าวนั้นเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ประหนึ่งน้ำในแม่น้ำคงคา ในบางถิ่นจึงมีประเพณีใช้น้ำมะพร้าวรดชำระศพให้บริสุทธิ์รวมถึงในไทยด้วย ที่แปลกคือประเพณีดั้งเดิมของชาวทมิฬในบางท้องถิ่นนั้น เมื่อมีผู้ตายจะนำศพไปพิงไว้กับกำแพง ก่อนจะนำลูกมะพร้าวมาขว้างใส่ศพจนแหลกเหลวจึงจะนำไปฌาปนกิจต่อไป

ในพระราชพิธีบางพิธีในไทยนั้นก็มีมะพร้าวเป็นส่วนประกอบด้วยเช่นกัน อาทิในพระราชพิธีลงสรงเพื่อชำระพระวรกายให้สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (และอีกนัยหนึ่งเพื่อเป็นการฝึกหัดให้ชินกับการว่ายน้ำ) นั้นก็จะมีการใช้มะพร้าวปิดกระดาษทองกระดาษเงินร่วมด้วย โดยมะพร้าวที่ใช้นั้นจะเป็นมะพร้าวงอกเพื่อสื่อถึงความเจริญงอกงามในภายภาคหน้า โดยในพระราชพิธีนั้นผู้เข้าพิธีจะเสด็จลงสรงสนานพร้อมกับมะพร้าวเงินมะพร้าวทอง นัยว่าเพื่อให้ใช้ลูกมะพร้าวนั้นเป็นทุ่นในการยึดเกาะและลอยตัวไว้มิให้จมน้ำด้วยนั่นเอง

สุดท้ายนี้จะขอพูดถึงการใช้มะพร้าวบูชาในพม่า โดยมะพร้าวในพม่านั้นใช้เป็นเครื่องบวงสรวงหนึ่งในบรรดานัตหลวง คือเจ้าพ่องะตินเดและเจ้าแม่ชเว มรัต หละ ซึ่งถือเป็นเจ้าแห่งนัตหลวงทั้งปวง ธรรมเนียมการบูชานัตหลวงทั้งสองตนนี้มีขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าจานสิตตาแห่งราชอาณาจักรพุกาม เนื่องด้วยมีตำนานว่านัตทั้งสองตนนี้ได้ช่วยเหลือในกิจการบ้านเมืองในรัชสมัยของพระองค์เป็นอย่างมาก พระองค์จึงได้ประกาศให้ข้าราษฎร์ทั้งปวงทำการบวงสรวงนับถือนัตทั้งสองสืบต่อมา โดยให้ตั้งลูกมะพร้าวอ่อนเฉาะแล้วไว้ในบ้านเรือนเป็นการบูชา ลูกมะพร้าวที่ตั้งบูชานี้ยังใช้ทำนายสุขภาพของคนในครัวเรือนได้อีกด้วย ว่ากันว่าหากคนในบ้านนั้น ๆ เจ็บไข้ไม่สบายขึ้นมาก็ให้ดูผลมะพร้าว หากน้ำมะพร้าวยังเต็มเนื้อมะพร้าวยังสด คนป่วยก็จะฟื้นไข้ในไม่ช้า แต่หากข้างในเหี่ยวแห้งแล้วก็แสดงว่าคนป่วยอาการจะทรุดลง ต้องทำการแก้เคล้ดด้วยการถาวยมะพร้าวผลใหม่จึงจะหายป่วยไข้ขึ้นได้

ก็ขอจบเรื่องราวพิธีกรรมที่มีมะพร้าวมาเกี่ยวข้องด้วยแต่เพียงเท่านี้


Tuesday, September 1, 2015

เรื่องของมะพร้าว ตอนที่ ๓ – ว่าด้วยทะนาน

จากตอนที่แล้วที่กล่าวถึงที่มาของคำว่ามะพร้าวและกะลา ว่าน่าจะมีรากศัพท์มาจากภาษาอินเดียและชวา ในครั้งนีจะขอเอ่ยถึงศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับมะพร้าวที่มีใช้ในไทยมานาน ทั้งในสุภาษิตและการละเล่นของเด็ก ๆ นั่นคือคำว่าทะนานครับ

ทะนานนั้นเป็นชื่อเรียกมาตรการชั่ง ตวง วัด แต่โบราณของไทย ตามปกติทะนานจะนิยมใช้เรียกการตวงของแข็งมากกว่าของเหลว ส่วนมากจะใช้ในการตวงข้าวโดยตั้งชื่อตามอุปกรณ์ที่ใช้ในการตวง นั้นคือทะนาน ซึ่งทำจากกะลามะพร้าว 
คำว่าทะนานนั้นปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา โดยปรากฏอยู่ในตัวบทกฎหมาย แต่สันนิษฐานกันว่าการใช้กะลาเป็นทะนานตวงวัดนั้นน่าจะมีใช้กันมาอย่างน้อยตั้งแต่ในสมัยอาณาจักรสุโขทัย ด้วยในสมัยนั้นเมืองไทยมีต้นมะพร้าวเยอะ ดังปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช 

นอกจากทะนานทั่ว ๆ ไปแล้ว ยังมีมาตราวัดที่เรียกกันว่าทะนานหลวง ซึ่งบัญญัติขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 มีอัตราเท่ากับ 1 ลิตรในระบบเมตริก อย่างใดก็ดีหลังการเข้ามาของระบบเมตริกทำให้การใช้ระบบชั่งตวงวัดแบบเดิมค่อย ๆ สูญหายไป ปัจจุบันคำว่าทะนานนั้นจะปรากฏในสุภาษิต อาทิ ยัดทะนาน ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยถึงการอัดสิ่งใด ๆ เข้าไปจนแน่น เปรียบเสมือนการตวงข้าวด้วยทะนานปริมาณมาก ๆ 

คำว่าทะนานนั้นดูเผิน ๆ ก็ดูคล้ายคำไทยแท้ แต่เมื่อพิจารณาถึงรากศัพท์ของทั้งกะลาและมะพร้าวแล้วก็น่าจะเชื่อได้ว่าคำว่าทะนานนั้นก็ควรจะมีรากศัพท์มาจากคำภาษาอินเดียด้วยเช่นกัน หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้คือ คำว่าทะนานนั้นมาจากคำว่า "นาราล" (Naral) ซึ่งเป็นคำเรียกมะพร้าวในภาษามราฐีในอินเดีย กับอีกข้อหนึ่งคือมาจากคำภาษาขอมว่า "เนียล" (Neal) ซึ่งเป็นคำเรียกกะลามะพร้าว (สันนิษฐานว่าคำว่าเนียลนั้นคือคำว่านาราลนั่นเอง) เนื่องจากอาณาจักรสยามได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากทั้งฝั่งขอมและอินเดีย ข้อสันนิษฐานทั้งสองข้อนี้จึงมีความเป้นได้ด้วยกันทั้งคู่ครับ


Monday, August 31, 2015

เรื่องของมะพร้าว ตอนที่ ๒ - ที่มาของคำว่ามะพร้าวและกะลา

จากคราวที่แล้วที่พูดถึงที่มาของคำว่านาฬิกา ที่มาจากการนำกะลามะพร้าวมาลอยน้ำใช้ต่างอุปกรณ์จับเวลา มาในครั้งนี้จึงขอพูดถึงที่มาของคำว่ากะลาและมะพร้าวกันบ้าง

คำว่ามะพร้าวนั้นฟังดูเผิน ๆ ก็เหมือนคำไทยแท้ แต่แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดมาจากคำภาษาอินเดีย (เช่นเดียวกันกับคำว่านาฬิกา แต่คำหลังนี้ยังพอมีสัณฐานให้ดูออกได้ว่ามาจากภาษาต่างประเทศจริง) 

คำว่า "พร้าว" นั้น เหล่าปราชญ์บัณฑิตสันนิษฐานกันว่ามาจากคำภาษามาลายายัน กอปปารา (Koppara) ซึ่งหมายถึงมะพร้าวแก่หรือมะพร้าวห้าว (คำนี้ต่อมาได้กลายเป็นที่มาของคำว่า Copra ที่ฝรั่งใช้เรียกเนื้อมะพร้าวเช่นกัน) เชื่อกันว่าคำนี้พอรับเข้ามาในประเทศไทยก็เพี้ยนกลายเป็นคำว่าพร้าว (Prao) ก่อนที่จะมีการเติมคำว่ามะ (กร่อนเสียงมาจากคำว่าหมากที่แปลว่าผลของต้นไม้) เพื่อสื่อว่าเป็นผลของต้นพร้าว จึงกลายเป็นมะพร้าวในปัจจุบัน

นอกจากนี้ คำว่า กอปปารานั้น ออกเสียงคล้ายกับคำว่า กัลป ของต้นกัลปพฤกษ์ หรือไม้สารพัดนึก สันนิษฐานกันว่าเนื่องจากต้นมะพร้าวนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายทุกรูปแบบ ชาวอินเดียจึงมีความนับถือและเชื่อว่าต้นมะพร้าวนั้นก็คือไม้กัลปฟฤกษ์นั่นเอง จึงเรียกขานชื่อต้นไม้ชนิดนี้กันว่ากัลป

การเรียกต้นมะพร้าวว่าไม้กัลปพฤกษ์นั้นได้แพร่จากอินเดียเข้ามาสู่แถบคาบสมุทรมลายู (ปัจจุบันคือมาเลเซีย) และอินโดนีเซียด้วยเช่นกัน โดยภูมิภาคแถบนั้นจะออกเสียงว่ากะลาปา คำ ๆ นี้ยังใช้เรียกเกาะในอินโดนีเซียที่มีต้นมะพร้าวขึ้นเยอะด้วยเช่นกันว่าเกาะกะลาปา (คือบริเวณเมืองจาร์กาตาในปัจจุบัน) คนไทยจะรู้จักคำนี้ในชื่อกะหลาป๋า หากใครเคยอ่านเรื่องระเด่นลันไดก็อาจจะคุ้นเคยกับคำ ๆ นี้ดี คำว่ากะลาปาหรือกะหลาป๋านี้ยังอาจเป็นที่มาของคำว่ากะลาอีกด้วยเช่นกัน 

กะลามะพร้าว จากสันฐานจะเห็นว่าคล้านกับกะโหลกศีรษะมนุษย์จริง ๆ 

อนึ่ง ในเมืองไทยสมัยก่อนนั้น เราจะเรียกส่วนเปลือกนอกแข็ง ๆ ที่หุ้มเนื้อมะพร้าวของมะพร้าวว่ากะโหลก ซึ่งการเรียกส่วนนี้ว่ากะโหลกนั้นไปพ้องกับรากศัพท์ของคำว่ามะพร้าวในภาษาอังกฤษ (coconut) ว่า "coco" ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเป็นภาษาสเปนหมายถึงกะโหลก (ทีมาของการใช้คำนี้เรียกมะพร้าว เพราะเปลือกนอกของผลมะพร้าวส่วนกะลานั้นมีสัณฐานคล้ายกะโหลกศีรษะมาก) ก็นับว่าแปลกดีที่ทั้งไทยและเทศต่างมีมองว่ามะพร้าวนั้นคล้ายกะโหลกศีรษะเหมือนกันนะครับ

Sunday, August 30, 2015

เรื่องของมะพร้าว ตอนที่ ๑ - ที่มาของคำว่า "นาฬิกา"

วันก่อนได้ลองชิมนมรสใหม่ ที่เป็นรสน้ำมะพร้าวอ่อนแล้ว ก็พบว่าอร่อยดีใช้ได้เหมือนกันครับ กลิ่นมะพร้าวอ่อน ๆ กลบกลิ่นนม บวกกับรสไขมันของนมทำให้รสมะพร้าวเข้มข้นขึ้น ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่อร่อยทีเดียวครับ

กินเสร็จ ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามะพร้าวนั้นมีความเกี่ยวพันกับเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันชนิดหนึ่งเป็นอย่างมาก สิ่งนั้นคือนาฬิกา จึงขอนำเรื่องราวของนาฬิกามันบันทึกไว้ในที่นี้

มะพร้าว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cocos nucifera อยู่ในวงศ์ Arecaceae หรือไม้วงศ์ปาล์ม ส่วนที่ใช้บริโภคเป็นหลักคือส่วนของเนื้อมะพร้าวและน้ำมะพร้าว ซึ่งแท้จริงแล้วทั้งสองส่วนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเมล็ดมะพร้าว (ส่วนของผลมะพร้าวจริง ๆ นั้นคือส่วนที่เป็นกะลามะพร้าว) มะพร้าวนี้ในภูมิภาคทางใต้ของอินเดียจะเรียกกันว่า "นาฬิเก" (nalikel ในภาษาเตกูลู) ซึ่งคำ ๆ นี้เป็นทั้งชื่อเรียกผลมะพร้าวในภาษาอินเดีย และชื่อเรียกเกาะ ๆ หนึ่งในภาคใต้ของอินเดียที่มีต้นมะพร้าวอุดมสมบูรณ์ มีบันทึกไว้ว่าในสมัยก่อนชนพื้นเมืองบนเกาะนาฬิเกนั้นจะบริโภคมะพร้าวเป็นอาหารหลัก ไม่มีการทำไร่เพาะปลูกใด ๆ ทั้งสิ้น

ลูกมะพร้าว ถ่ายที่ซอยสวนผัก เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ

แล้วมะพร้าวหรือนาฬิเกมาเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์บอกเวลาที่ในปัจจุบันนี้เราเรียกว่านาฬิกาได้อย่างไร ก็ด้วยในสมัยก่อนเมื่อยังไม่มีนาฬิกากลไกนั้น ก็ต้องอาศัยดูเวลาจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวแล้วเปรียบเทียบเอา หนึ่งในนั้นคือการเอากะลามะพร้าว (หรือนาฬิเก) มาลอยน้ำให้ค่อย ๆ จมลง เมื่อกะลาจมลงถึงก้นภาชนะก็นับเป็นหนึ่งช่วงเวลา คือ "หนึ่งนาฬิเก" เมื่ออุปกรณ์กลไกบอกเวลาเข้ามาถึงประเทศไทย จึงนำชื่อนาฬิเกนั้นไปตั้งเป็นชื่อของอุปกรณ์ชนิดนั้น ๆ ด้วย เมื่อเวลาผ่านไปคำเรียกก็เพี้ยนไปให้ง่ายต่อการออกเสียงกลายเป็นนาฬิกา ดังที่ใช้อยู่ในไทยในปัจจุบันนั่นเอง

Friday, August 28, 2015

ฉื่อคัก วัชพืชเลอค่าประจำเทศกาลสารทจีน

เนื่องจากวันนี้ (28 ส.ค. 58) เป็นวันสารทจีน เลยขอเขียนอะไรจีน ๆ หน่อยก็แล้วกันครับ

ตามความเชื่อแล้ว วันสารทจีนเป็นวันที่ประตูยมโลกเปิดออกให้วิญญาณของผู้วายชนม์ทั้งหลายได้หวนคืนกลับสู่โลกมนุษย์อีกครั้งในรอบปี ในวันนี้วิญญาณบรรพชนจะได้กลับมาเยี่ยมเยือนบุตรหลาน จึงเป็นธรรมเนียมที่บุตรหลานจะต้องตระเตรียมของเซ่นไหว้บรรพชนของตนกันให้ครบทั้งคาวหวาน หนึ่งในของไหว้ที่ขาดไปไม่ได้ คือขนมเทียนนั่นเอง

ตามตำรับดั้งเดิมแล้วตัวแป้งขนมเทียนนั้นจะผสมหญ้าชนิดหนึ่งลงไปด้วย คือหญ้าที่มีนามว่า "ฉื่อคัก" พืชชนิดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gnaphalium affine เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับพวกทานตะวัน พืชชนิดนี้มีสรรพคุณทางยามากมาย ในฐานะสมุนไพรแล้วมีการนำไปใช้เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ ลดไข้ ปวดตามข้อ แก้ตกขาวและอื่น ๆ เนื่องจากมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จึงมีการนำไปผสมในอาหารหลายชนิด อาหารที่มีฉื่อคักเป็นส่วนประกอบที่โด่ดังคือ ฉื่อคักก้วย ซึ่งถือเป็นขนมเก่าแก่ของแต้จิ๋วที่ปัจจุบันยังคงพอหาทานได้ในย่านคนจีน เช่นในเยาวราชเป็นต้น

ดอกพืชตระกูลฉื่อคัก ภูทับเบิก จ. เพชรบูรณ์

พืชชนิดนี้พบเจอเป็นพืชท้องถิ่นในประเทศแถบเอเชียตะวันออก แต่สามารถพบเจอเป็นพืชพื้นถิ่นในแถบภูเขาสูงในไทยได้ด้วยเช่นกัน แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีชื่อไทยอย่างเป็นทางการให้แก่พืชชนิดนี้ ถึงแม้ในบางท้องถิ่นมีการเรียกว่า หนาดคำน้อยก็ตาม


อนึ่ง พืชในสกุลนี้ที่พบเป็นพืชท้องถิ่นในไทยมีด้วยกันสามสายพันธุ์ คือ Gnaphalium affine, Gnaphalium hypoleucum และ Gnaphalium polycaulon ซึ่งทั้งสามชนิดนี้ล้วนแล้วแต่ยังไม่มีชื่อไทยอย่างเป็นทางการครับ

จันทน์ จากเครื่องหอมสู่เครื่องประหารเจ้าขุนมูลนาย

ครั้งก่อนเขียนถึงทานาคาหรือกระแจะไว้ แล้วมีการกล่าวถึงไม้จันทน์ในรูปของกระแจะจันทร์เอาไว้ เห็นว่าถ้าไม่เขียนถึงไม้จันทน์ด้วยก็จะไม่ครบจบถ้วนกระบวนความ เลยเขียนเรื่องไม้จันทน์แยกไว้อีกหนึ่ง

ไม้จันทน์ หรือชื่อทางการคือจันทน์ชะมดนั้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mansonia gagei เป็นพืชในวงศ์ Sterculiaceae เป็นไม้ท้องถิ่นของไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ ในอดีต (รวมถึงในปัจจุบัน) จัดเป็นสินค้าเศรษฐกิจราคาแพง ชนิดที่รัฐบาล (ในสมัยนั้นคือราชวงศ์) เป็นผู้ผูกขาดการค้าเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ด้วยไม้จันทน์นั้นมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งมาจากน้ำมันหอมระเหยในแก่นไม้ ในทางยาแล้วมีการนำไปใช้เป็นยาหอมบำรุงหัวใจ แก้วิงเวียน แก้คลื่นไส้อาเจียน เป็นยาระงับประสาทและกระตุ้นความสดชื่นให้แก่ร่างกาย

ต้นจันทน์ (ภาพจากก website ของสำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช,
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช)

ด้วยไม้จันทน์เป็นไม้เนื้อดีมีกลิ่นหอม จัดเป็นของสูงในสมัยก่อนจึงนิยมนำไปสร้างตำหนักราชวังต่าง ๆ เมืองที่มีการนำไม้จันทน์ไปสร้างสิ่งปลูกสร้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือเมืองเวียงจันทน์ สมัยก่อนเวียงจันทน์มีชื่อเต็มว่า "เวียงต้ายไม้จันทน์" แปลได้ว่าเมืองที่มีรั้วกำแพงเมืองทำด้วยไม้จันทน์ เมื่อเวลาผ่านไปชื่อเมืองก็ถูกเรียกกร่อนลงจนเหลือเพียงเวียงจันทน์

นอกจากใช้ในทางสิริมงคล เช่นสร้างเมืองหรือเครื่องสำอางแล้ว ไม้จันทน์ยังเกี่ยวข้องกับทางอวมงคลด้วย ด้วยถูกใช้เป็นเครื่องประหารชีวิตบรรดาเจ้านายชั้นสูงทั้งหลายอีกด้วย ด้วยเป็นธรรมเนียมว่าเชื้อพระวงศ์นั้นห้ามกระทำให้เลือดตกยางออกหยดลงแผ่นดิน จะบังเกิดเป็นอุบาทว์แก่ชาติบ้านเมือง จึงต้องสำเร็จโทษด้วยการทุบเพื่อมิให้เกิดบาดแผลขึ้น ธรรมเนียมนี้มีปรากฏในพงศาวดารพม่าด้วยเช่นกัน โดยทางพม่านั้นหากจะประหารเจ้านายบุรุษให้ทุบด้วยท่อนจันทน์ที่ท้ายทอย หากเป็นเจ้านายฝ่ายหญิงให้ทุบด้านหน้าให้กระเดือกแตก

นอกจากใช้เป็นเครื่องประหารแล้ว ไม้จันทน์ยังใช้ประกอบในพิธีศพต่อไปอีกด้วย โดยไม้จันทน์นั้นดั้งเดิมถูกใช้เป็นฟืนเผาพระบรมศพเท่านั้น ต่อมาในยุครัตนโกสินทร์ จำนวนไม้จันทน์มีให้ใช้ลดลง จึงมีผู้คิดประดิษฐ์นำไม้จันทน์มาฝานบาง ๆ ก่อนจะถักสานให้ออกมามีรูปร่างสวยงามเป็นดอกไม้ แล้วเรียกกันว่าดอกไม้จันทน์ ดอกไม้จันทน์นี้มีใช้กันแพร่หลายตกทอดมาจนถึงในปัจจุบันกัน แม้ในปัจจุบันจะใช้วัสดุอื่น ๆ ในการทำแทนไม้จันทน์แล้วก็ยังคงเรียกขานกันว่าดอกไม้จันทน์อยู่ เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษมาถึงปัจจุบันนั่นเอง

จากข้างต้น จะเห็นได้เลยว่าไม้จันทน์นั้นเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยแต่โบราณ จนถึงปัจจุบันจริง ๆ

Thursday, August 27, 2015

ทานาคา เครื่องประทินผิวป้องกันรังสียูวีมาแต่โบราณกาล

เมื่อปีกลาย ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศพม่าเป็นครั้งที่สอง (ครั้งแรกคือสองปีก่อนหน้านี้) โดยครั้งนี้เป็นการเที่ยว backpack เข้าลึกไปยังใจกลางประเทศพม่า โดยจุดหมายคือเมืองมัณฑะเลย์และพุกาม (เรื่องประสบการณ์เที่ยวพม่านั้นจะเขียนถึงในโอกาสถัด ๆ ไปครับ)

แน่นอนเมื่อพูดถึงพม่าแล้วสิ่งหนึ่งที่จะนึกถึงได้เลยคือความงามแบบสาวพม่า ชาวพม่านั้นขึ้นชื่อเรื่องผิวงามมาแต่ครั้งโบราณจนมีคำพังเพยเอ่ยถึงความงามของอิตถีเพศเอาไว้ว่า “ผิวพม่า นัยน์ตาแขก” คือผิวเนียนสวยแบบสาวพม่า และมีตากลมโตสุกใสแบบสาวแขก หนึ่งในเคล็ดลับความงามของสาวพม่านั้นเกิดจากเครื่องประทินโฉมที่ชาวพม่าใช้กันในเกือบทุกครัวเรือน นั่นคือ “ทานาคา” นั่นเอง (ไม่ใช่ครีมสเตียรอยด์ทาฝ่าเท้าที่มีโฆษณาทางเนตว่าเป็นครีมพม่าแต่อย่างใดนะครับ)

ทานาคา หรือ Thanaka นั้นเป็นผงเนื้อไม้ ดั้งเดิมเลยทำจากเนื้อไม้ของต้นที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Naringi crenulata หรือ Hesperethusa crenulata ซึ่งเป็นพืชในวงศ์ Rutaceae หรือวงศ์ส้มมะนาวนั่นเอง อย่างไรก็ตามทานาคาที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบันนั้นมีการนำไม้ในวงศ์ Rutaceae อื่น ๆ มาทำด้วย อาทิพืชในสกุลแก้วหรือมะขวิดเป็นต้น 

ทานาคาอัดแท่ง ซื้อจากตลาดสก็อต ย่างกุ้ง ประเทศพม่า

ทานาคานั้นได้รับความสนใจในหมู่นักวิจัยเนื่องจากตัวเนื้อไม้ของ Hesperethusa crenulata นั้นมีสรรพคุณป้องกันนรงสียูวีที่ไปทำลายชั้นคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันการเกิดสิวได้อีกด้วย นับว่าทานาคานั้นเป็นเครื่องประทินผิวที่เหมาะกับเมืองร้อนเช่นในแถบเอเชียอาคเนย์นี้จริง ๆ อนึ่งพืชในสกุลแก้วกับมะขวิดที่มีการนำมาทำเป็นทานาคาด้วยนั้นก็มีฤทธิ์รักษาผิวและต้านอนุมูลอิสระด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่มีการเปรียบเทียบว่าใครมีฤทธิ์ดีกว่ากัน

เด็กสาวพม่าทาทานาคา ถ่ายที่วัดกุโสดอ มัณฑะเลย์

ไม่เพียงแต่ในพม่าเท่านั้น ทานาคายังมีการใช้เป็นเครื่องประทินโฉมในเมืองไทยมาแต่ครั้งโบราณ โดยคนไทยนั้นจะรู้จักกันในชื่อกระแจะ โดยจะนำไปผสมกับไม้จันทน์เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและเรียกรวมกันว่ากระแจะจันทน์ ดังปรากฏในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนว่า “ซับเหงื่อด้วยเนื้อสไบนาง กระแจะจวงจันทน์นางละลายทา” กระแจะนั้นจึงอยู่คู่กับความงามของสาวไทยมาแต่ครั้งโบราณแล้วนั่นเองครับ

Wednesday, August 26, 2015

มณฑา ไม้ในพุทธประวัติที่นำเข้าจากต่างแดน

ดังที่ได้กล่าวไปในบทความก่อนหน้าว่าเรื่องราวในพุทธประวัตินั้นมีเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับพรรณไม้หลากชนิด หนึ่งในพรรณไม้ที่มีความสำคัญในพุทธประวัติที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันนักคือมณฑา ตามพุทธประวัติแล้วดอกมณฑานั้นเป็นไม้สวรรค์ไม่มีอยู่บนโลกมนุษย์ จะอุบัติร่วงหล่นลงมายังโลกในวาระสำคัญ 8 ประการเท่านั้น คือ ยามเมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จลงมาจุติยังครรภ์มารดา ยามประสูติ ยามเสด็จออกผนวช ยามตรัสรู้ ยามตรัสปฐมเทศนา ยามทำยมกปาฏิหาริย์ ยามเสด็จกลับจากเทวโลก และยามเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 

หนึ่งในเหตุการณ์ที่มีการกล่าวถึงดอกมณฑา คือยามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วเป็นเวลา 7 วัน พระมหากัสสปะได้เดินทางมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ระหว่างทางพบชาวเมืองกุสินาราเดินถือดอกมณฑาเสียบไม้ใช้ต่างร่มบังแดด จึงทราบขึ้นได้ในบัดดลว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในปัจจุบัน นามของดอกมณฑานั้นถูกนำมาตั้งเป็นพรรณไม้ชนิดหนึ่งในโลกมนุษย์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Talauma candollei หรือ Magnolia liliifera ดอกมณฑาเป็นไม้ในตระกูลแมกโนเลียที่มีลักษณะคล้ายยี่หุบ คือยามบานดอกจะไม่บานเต็มที่เหมือนแมกโนเลียชนิดอื่น ๆ ต่างกันที่ยี่หุบนั้นมีกลีบดอกสีขาว ส่วนมณฑานั้นมีกลีบดอกสีเหลืองทอง

ดอกมณฑา ถ่ายที่วัดพระแก้ว จ.เชียงราย

อย่างไรก็ดี มณฑานั้นมิได้เป็นไม้ท้องถิ่นของประเทศไทยมาแต่เดิม (Magnolia liliifera ที่เป็นไม้พื้นเมืองของไทยนั้นจะเป็น variation obovata (Korth.) Govaerts มีชื่อไทยว่าตองแข็งหรือบุณฑา) ส่วนถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของมณฑานั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะแพร่เข้ามาในไทยทางภาคใต้จากอินโดนีเซีย ด้วยมีบันทึกในบทละครเรื่องอิเหนา ที่นำเค้าโครงเรื่องมาจากวรรณคดีของอินโดนีเซียมีกล่าวถึงมณฑาไว้ว่า “ต้นมณฑามาแต่แขกแรกมี” จึงสันนิษฐานว่าชาวไทยน่าจะนำเข้ามณฑามาจากอินโดนีเซียนั่นเอง


อนึ่ง มีไม้พื้นถิ่นของไทยบางชนิดที่มีนามมณฑาอยู่ในชื่อเช่นกัน ได้แก่มณฑาดอย (Mangnolia garrettii) และมณฑาอ่างขาง (Magnolia hookeri) เนื่องจากลักษณะของดอกมณฑาสวรรค์ที่มีบรรยายในพุทธประวัตินั้นไม่แน่ชัด จึงอาจเป็นได้ว่า "มณฑา" ในพุทธประวัตินั้นอาจจะเป็นหนึ่งในไม้สองชนิดนี้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันหากเอ่ยถึง "มณฑา" แล้วก็จะนับเฉพาะพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Magnolia liliifera เท่านั้น

Tuesday, August 25, 2015

พรรณไม้ใดคือ "สาละ" ในพุทธประวัติที่แท้จริง

จากที่ครั้งก่อนได้เขียนเรื่องต้นโพธิ์ไป เลยมาลองรื้อหนังสือเกี่ยวกับพุทธประวัติที่มีอยู่ดู ก็พบว่าในพุทธประวัตินั้นมีการเอ่ยถึงบรรดาพรรณไม้ต่าง ๆ มากมายหลายชนิด หนึ่งในนั้นที่คนไทยรู้จักกันดีและมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าต้นโพธิ์เลยก็คือต้นสาละ ด้วยตามพุทธประวัติแล้ว ไม้ชนิดนี้เกี่ยวเนื่องกับพระประวัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ประสูติจนถึงดับขันธ์ปรินิพพาน ดังปรากฏไว้ในพระประวัติยามประสูติว่า เมื่อครั้นที่พระนางสิริมหามายาได้เสด็จกลับสู่นครเทวทหะ เมืองต้นตระกูลของนางเพื่อเตรียมตัวคลอดนั้น ระหว่างทางได้ดำเนินมาถึงใต้ต้นสาละแล้วเกิดความปรารถนาที่จะหยุดพักผ่อนอิริยาบถ จึงหมายใจจะจับกิ่งต้นสาละยึดพระวรกายไว้แต่กิ่งนั้นอยู่สูงจนไม่อาจเอื้อมไปถึง พลันกิ่งต้นสาละนั้นก็น้อมต่ำลงมาเองจนพระนางเอื้อมถึง เมื่อทรงจับกิ่งยึดพระวรกายไว้แล้วก็บังเกิดอาการประชวรพระครรภ์จนให้กำเนิดเจ้าชายสิทธัตถะขึ้น ณ ใต้ต้นสะละนั้นเอง อีกครั้งหนึ่งที่ต้นสาละถูกกล่าวถึงในพุทธประวัติคือยามเมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ด้วยกล่าวกันไว้ว่าพระองค์ทรงทอดกายลงใต้ร่มต้นสาละคู่ ก่อนจะทรงละสังขารไป

ต้นสาละนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Shorea robusta ตามตำนานพื้นบ้านของอินเดียแล้ว กล่าวถึงต้นกำเนิดไว้ว่าถือกำเนิดจากเจ้าแม่นิรันตาลี โดยเจ้าแม่ได้เอ่ยถึงคุณประโยชน์ของต้นสาละไว้ว่า เป็นไม้เนื้อแข็งมีคุณสูงนัก จักใช้ทำประตูหรือทำบ้านก็ได้ ซึ่งอาจเป็นที่มาของชื่อสาละในภาษาสันสกฤต “sala” ที่แปลว่าบ้าน เป็นการบอกเป็นนัยว่าไม้ชนิดนี้เหมาะนำไปทำตัวเรือนบ้านนัก (ซึ่งก็ไปพ้องกับชื่อวิทยาศาสตร์ของไม้ชนิดนี้เช่นกัน ด้วยคำว่า robusta นั้นมีความหมายว่าแข็งแกร่ง) นอกจากนี้แล้วยางของต้นสาละยังมีการใช้เป็นสมุนไพรสมานแผลและรักษาโรคผิวหนังได้อีกด้วย

ตามประวัติศาสตร์ของไทยในสมัยก่อนนั้น จะมีการแทนนามต้นสาละว่าต้นรัง ดังปรากฎอยู่ในนิราศพระแท่นดงรัง ที่สร้างขึ้นจำลองสถานที่ปรินิพพานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ว่า ในสมัยก่อนนั้นแต่เดิมมีต้นรังขึ้นอยู่ริมพระแท่นข้างละต้น โน้มยอดเข้าหากัน (นัยว่าเพื่อจำลองสภาพให้เหมือนตอนพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานจริง ๆ ) แสดงให้เห็นว่าในสมัยก่อนนั้นเข้าใจกันว่าต้นรังและต้นสาละเป็นต้นไม้ชนิดเดียวกัน แต่ในทางพฤกษศาสตร์ปัจจุบันแล้วจะแยกต้นรังกับต้นสาละออกเป็นไม้คนละต้นกัน โดยต้นรังนั้นปัจจุบันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Shorea siamensis (จะเห็นจากชื่อได้ว่าเป็นไม้สกุลเดียวกันกับต้นสาละ) โดยต้นรังนั้นถือเป็นพืชท้องถิ่นในภูมิภาคอินโดจีน ต่างจากต้นสาละที่ในธรรมชาติจะพบกระจายตัวในแถบคาบสมุทรอินเดียเท่านั้น ทั้งนี้ต้นสาละและต้นรังนั้นมีลักษณธที่คล้ายคลึงกันมาก แตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อ อาทิ ใบแก่ของต้นรังจะมีสีแดง ส่วนของต้นสาละจะเป็นสีเหลืองนอกจากนี้ในบางท้องถิ่นของอินเดียเองมีการเรียกต้นสาละว่า "หะรัง" (Harang) ซึ่งออกเสียงคล้ายต้นรังของไทย จึงสันนิษฐานว่าอาจเป็นจุดให้คนสมัยก่อนสับนว่าต้นสาละคือต้นรัง จึงได้มีการแปลต้นสาละในพุทธประวัติว่าต้นรังก็เป็นได้

เมื่อพูดถึงต้นสาละไปแล้ว จะไม่พูดถึงต้นสาละลังกาไปก็คงไม่ได้ ด้วยไม้สองชนิดนี้นำพาความสับสนมึนงงมาสู่พุทธศาสนิกชนมานักต่อนัก ต้นสาละลังกาหรือต้นลูกปืนใหญ่ (Cannonball tree) นั้นมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Couroupita guianensis เป็นไม้พื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้ คาดว่ากระจายพันธุ์มาถึงคาบสมุทรอินเดียได้ผ่านทางเรือสินค้าของชาวยุโรป พืชชนิดนี้ชาวอินเดีย ศรีลังกาเรียกในภาษาของตัวเองว่า Sala เหมือนกันกับต้นสาละในพุทธประวัติ (รวมถึงในบางท้องถิ่น เช่นอินโดนีเซียเองก็เรียกว่าต้น Sala เหมือนกัน) จึงทำให้มีการหลงเข้าใจผิดว่าเป็นต้นสาละในพุทธประวัติกันได้ ในปัจจุบันจึงมีการเรียกใหม่ว่าเป็นสาละลังกา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นต้นไม้คนละต้นกับต้นสาละในอินเดีย ที่เป็นไม้ในพุทธประวัตินั่นเอง


จากซ้ายไปขวา: ดอกรัง ดอกสาละ และดอกสาละรังกา (ภาพจากก website ของสำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช)




นามอันแท้จริงของต้นโพธิ์

ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบต้นไม้ (ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากคุณแม่โดยตรง) ทำให้ในอาณาบริเวณบ้านนั้นมีต้นไม้ใบหญ้ารกครึ้มอยู่ตลอดทั้งปี บางต้นนั้นตั้งใจซื้อหามาปลูกโดยเฉพาะ บางต้นนั้นก็ได้มาด้วยความเสน่หาหรือได้มาจากการแลกเปลี่ยนกันและกัน และยังมีอีกไม่น้อยที่อยู่ดี ๆ มันก็มาของมันเอง คาดว่านกกาน่าจะนำพามาให้ ต้นไหนพอจะเลี้ยงดูได้ก็ปลูกกันต่อ ต้นไหนดูแล้วเป็นภาระก็คงต้องตัดเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนจะใหญ่โตเกินรับมือไหว

วันก่อนระหว่างที่เดินสำรวจสวน ก็บังเอิญไปพบกับต้นโพธิ์งอกยาวขึ้นมาในกระถางต้นจันผา กำลังโตได้ที่ราวฟุตนึง คาดว่านกกาคงพามาให้อีกเช่นเดิม เมื่อเห็นใบโพธิ์มันระยับยามต้องแดดส่ายไหวไปมายามสายลมพัดผ่าน ก็ชวนให้นึกถึงวัดวาอารามขึ้นมา ด้วยต้นโพธิ์นั้นเป็นต้นไม้สำคัญในทางพุทธศาสนา จึงมปลูกตามวัดกันมากมาย ในขณะที่ตามบ้านเรือนทั่วไปนั้นไม่ใคร่มีใครปลูกกันนัก ด้วยต้นมีขนาดใหญ่ดูแลลำบากหากมีพื้นที่จำกัด


ต้นโพธิ์ งอกในกระถางจันผาที่บ้านของผม

ต้นโพธิ์นั้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ficus religiosa จากชื่อก็บ่งบอกว่าเป็นไม่ในตระกูลมะเดื่อ (Ficus) ที่มีความสำคัญในทางศาสนา (religiosa) ในฐานะสมุนไพรแล้วมีการใช้ผลในการเป็นยาระบายและช่วยย่อยอาหาร

ต้นโพธิ์เป็นหนึ่งในพรรณไม้ที่มีความสำคัญในพุทธศาสนา ด้วยเป็นที่ ๆ ที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้ถึงหลักธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้น ต้นโพธิ์จึงได้รับการสักการะและระลึกถึงในฐานะตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตราบจนทุกวันนี้

แต่แท้จริงแล้ว คำว่า "ต้นโพธิ์"นั้นหาใช่ชื่อแสดงสัญชาติของต้นไม้เพียงชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ ด้วยคำว่าโพธิ (แปลได้ว่าความรู้หรือการตรัสรู้) นั้นเป็นนามที่ใช้เรียกขานพรรณไม้ใด ๆ ก็ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาตรัสรู้ ณ ใต้ร่มชายคาของไม้นั้น ๆ ดังนั้น ในแต่ละยุคสมัยที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นนั้น ก็จะมี "ต้นโพธิ์" ต่าง ๆ กันออกไปแล้วแต่ยุค อาทิ พระศรีอาริยเมตไตรย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจะเสด็จตรัสรู้ใต้ต้นกากะทิง (จากคำพรรณณานั้นมีลักษณะเป็นดั่งไม้ในป่าหิมพานต์ แต่ปัจจุบันมีการนำนามกากะทิงนั้นไปตั้งเป็นชื่อพ้องกับต้นกระทิง (Calophylum inophyllum) แล้ว) ทำให้เมื่อถึงยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย ต้นกากะทิงก็จะได้นามว่าต้นโพธิ์ในยุคนั้นนั่นเอง

ถ้าเช่นนั้น แล้วนามเดิมของ "ต้นโพธิ์" ก่อนทีเจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นคืออะไรกันแน่เล่า?

จากบันทึกในพระสุตตันตปิฎก เล่ม 25 ขุททกนิยาย พุทธวงศ์ โคตมพุทธวงศ์ มีระบุไว้ว่า "พระพุทธเจ้าองค์ที่ 28 พระนามว่า พระโคตมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยาอยู่ 6 ปี จึงได้ประทับตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธฺญาณ ณ ควงไม้อัสสัตถะ (Assattha) ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา"

ซึ่งไม้อัสสัตถะนี้ มีอีกชื่อหนึ่งว่าต้นปิปปัน (Pippal) จึงสรุปได้ว่า "ต้นโพธิ์" ในยุคปัจจุบันนั้นคือต้นอัสสัตถะหรือต้นปิปปันนั่นเอง

ส่วน "ต้นปิปปัน" ในกระถางต้นจันผาที่บ้านของผมนั้น คงต้องถอนออกก่อนที่มันจะโตไปกว่านี้ เพราะคงไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดเสด็จมาตรัสรู้ที่บ้านของผมแน่นอน